สำนวนสุภาษิตไทยรวมถึงคำพังเพยนั้น นิยมใช้กันมาอย่างยาวนานและแพร่หลาย นับเป็นอีกหนึ่งในวัฒนธรรมที่น่าภาคภูมิใจของไทยเรา สำนวนไทย สุภาษิตไทยและคำพังเพยนั้น เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น ทั้งทางดีและทางร้าย จนมีการนำสิ่งที่เกิดขึ้นมาเรียบเรียงถ้อยคำใหม่ในเชิงสั่งสอนหรือเปรียบเทียบ จนเกิดเป็นสํานวนไทย สุภาษิตคำพังเพย และ สุภาษิตสำนวนไทยในที่สุด สำนวน สุภาษิต คำพังเพยนั้น ดูเผินๆจะคล้ายกันมากจนแยกกันแทบไม่ออก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้ง 3 คำมีความแตกต่างกันอยู่ โดยที่สํานวนไทยจะเป็นการพูดเชิงเปรียบเทียบและมักจะไม่แปลความหมายตรงๆ เช่น กินน้ำใต้ศอก ส่วนสุภาษิตจะเป็นเชิงสั่งสอนหรือให้ข้อคิด เช่น หัวล้านได้หวี วานรได้แก้ว และสุดท้ายคำพังเพย จะเป็นลักษณะของการเปรียบเทียบของสองสิ่ง เช่น กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ เป็นต้น

สำนวนสุภาษิต ” กบเลือกนาย “ ความหมาย : หมายถึง การช่างเลือก ช่างสรรหาเพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตนหวังหรือมีความต้องการ เป็นคนเลือกมาก แต่ท้ายสุดกลับได้ของที่ไม่ต้องการหรือไม่มีค่าอะไรเลย สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : เลือกนักมักได้แร่

สำนวนสุภาษิต ” กบในกะลา ” ความหมาย : สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึงผู้ที่คิดว่าตนมีความรู้มาก แต่ที่จริงแล้วมีความรู้และประสบการณ์น้อยมาก จำกัดอยู่ในกรอบแคบๆเท่านั้น สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : ปัญญาแค่หางอึ่ง

สำนวนสุภาษิต ” กระดี่ได้น้ำ ” ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึงอาการของคนที่ดีอกดีใจสุดๆ หรือตื่นเต้นมากๆ จนทำให้แสดงอาการออกนอกหน้า ไม่สามารถควบคุมอารมณ์เหล่านั้นได้ สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : ดีใจจนเนื้อเต้น

สำนวนสุภาษิต ” กระต่ายตื่นตูม ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงอาการตื่นตกใจในเหตุการณ์ที่สรุปขึ้นเองอย่างไม่มีเหตุผล ตื่นตกใจโดยไม่คิดถึงเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ด่วนสรุปอะไรง่ายๆ สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : ตีตนไปก่อนไข้

วันนี้ขอนำเสนอคำพังเพยที่ว่า ” กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี “ หลายคนคงจะได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยกันมาแล้ว และรู้ว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองหลวงของไทยมาก่อน มีประวัติศาสตร์การสู้รบกับอริราชศัตรูมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน และไม่ว่าบ้านเมืองจะมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดศึกสงคราม ก็จะมีวีรบุรุษ วีรสตรีมาคอยปกป้อง ฟื้นฟูบ้านเมือง ตัวอย่างเช่น พระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น ตามตำราหลายๆเล่ม ได้กล่าวถึงที่มาของคำพังเพย ” กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี ” ว่า สำนวนคำพังเพยประโยคนี้เป็นสำนวนเก่า

สำนวนสุภาษิต ” กลมกลิ้งเป็นลูกมะนาว ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงพฤติกรรมกลับกลอก กะล่อนมากจนตามไม่ทัน ที่มาของสำนวน เนื่องจากมะนาวมีผลกลมเกลี้ยง กลิ้งไปมาได้ง่าย จึงใช้เปรียบกับคนที่กะล่อนมากจนตามไม่ทัน เหมือนลูกมะนาวที่กลิ้งได้เร็ว เวลากลิ้งบนพื้นตามจับยาก เพราะผลกลมเกลี้ยง

วันนี้ขอนำเสนอคำพังเพยไทยที่ว่า ” กลิ้งครกขึ้นภูเขา “ บางคนอาจแปลกใจว่า ทำไมไม่ใช้ “เข็นครกขึ้นภูเขา” ซึ่งจะได้ยินกันบ่อยพอสมควร นั้นจริงๆแล้วไม่ถูกต้อง ต้องใช้คำว่า “กลิ้งครก” ไม่ใช่ “เข็นครก” เพราะครกมีลักษณะกลมต้องพลิกเลื่อนไปจึงต้องใช้คำว่า ” กลิ้ง ” โคลงสุภาษิตประจำภาพในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามอธิบายความหมายว่า

วันนี้ขอแนะนำคำพังเพย ที่ว่า ” กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ “ เป็นคำคำเพย ซึ่งเป็นเชิงเปรียบเทียบ ถึงการทำงานที่ลังเล ไม่ยอมเลือก ไม่กล้าตัดสินใจ หรือมั่วแต่รอลังเลใจ จนทำให้งานเสียหาย โดยคำพังเพยนี้มาจาก การคั่วถั่วกับงาในกระทะเดียวกัน เนื่องจากถั่วเป็นของสุกช้า ส่วนงาจะสุกเร็วกว่า เมื่อเอามาคั่วในกระทะเดียวกัน แล้วมัวรอไห้ถั่วสุก งาก็ไหม้เสียก่อน สรุปความหมาย ของคำพังเพย “ กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ” หมายถึงลักษณะของการทำงานที่มีความรีรอลังเลใจ ทำให้แก้ไขปัญหาได้ไม่ทันท่วงที เมื่อได้อย่างหนึ่งแล้ว แต่กลับต้องเสียอีกอย่างหนึ่งไป

สำนวนสุภาษิต ” กันไว้ดีกว่าแก้ “ ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง รู้จักหาวิธีป้องกันเหตุไม่ให้เกิดขึ้นดีกว่าปล่อยให้เหตุร้ายเกิดแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : ตัดไฟแต่ต้นลม

สำนวนสุภาษิต ” กาคู่กา หงส์คู่หงส์ “ ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง คนที่มีระดับฐานะเท่าเทียมกันย่อมเหมาะสมที่จะอยู่เคียงข้างกัน คบค้าสมาคมกัน ตัวอย่าง เมื่อวานนี้ฉันไปงานแต่งงานของคุณยอดชายกับคุณศรีสุดา ดูแล้วช่างเป็นคู่บ่าสาวที่เหมาะสมกันจริงๆ ดั่งสำนวนไทยที่ว่า ” กาคู่กา หงส์คู่หงส์ ” ฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นลูกเจ้าสัวและมีบ่อน้ำมัน ส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็ลูก ส.ส. เห็นแล้วน่าอิจฉาซะจริง

สำนวนสุภาษิต ” กำขี้ดีกว่ากำตด “ ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง ลงทุนหรือลงแรงไปแล้ว แม้ไม่ได้ค่าตอบแทน แต่ได้อย่างอื่นมาก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยจาก การกำขี้นั้นยังเป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่ตดนั้นไม่สามารถที่จะจับต้องได้

สำนวนสุภาษิต ” กำแพงมีหูประตูมีช่อง “ หรือ “กำแพงมีหู ประตูมีตา” ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง สิ่งใดที่เป็นความลับเวลาจะพูดออกไปจะต้องระมัดระวังให้มาก เพราะอาจมีผู้อื่นได้ยินแล้วนำเอาความลับนั้นไปเปิดเผย ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงว่าสิ่งรอบๆตัวเรา เช่น หลังกำแพง,หลังประตูหรือหน้าต่าง ยังมีคนที่อาจอยู่และได้ยินเวลาเราพูดเสมอ

สำนวนสุภาษิต ” กินจนพุงแตก “ ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง รับเงินสินบน ทำหน้าที่โดยทุจริตมามากจนเรื่องแดงออกมาเป็นที่รู้กันไปทั่ว ที่มาของสำนวน สำนวนนี้มีที่มาจากเรื่องมหาเวสสันดรชาดก เมื่อตอนที่ชูชกโลภมากกินอาหารไม่หยุดจนกระทั่งพุงแตกตาย เปรียบเปรยได้กับพวกที่คิดคดทุจริตด้วยการรับสินบนมามากจนในที่สุดมีคนรู้เห็น ทำให้เรื่องแดงออกมาให้รู้โดยทั่วกัน

สำนวนสุภาษิต ” กินน้ำเห็นปลิง ” ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึงกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แต่เจออะไรบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ จึงไม่ทำสิ่งนั้นๆ ต่อให้จบ สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : เข้าด้ายเข้าเข็ม

สำนวนสุภาษิต ” กินน้ำใต้ศอก ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึง จำยอมตกเป็นรอง ไม่สามารถเทียบเทียมได้เท่า เช่นหญิงที่ได้สามี แต่ต้องตกไปอยู่ในตำแหน่งเมียน้อย ก็เรียกว่า “กินน้ำใต้ศอกเขา” ที่มาของสํานวน คนในสมัยก่อนอธิบายว่า คนหนึ่งเอาสองมือรองน้ำมากิน มากิน อีกคนหนึ่งรอหิวไม่ไหวเลยเอาปากเข้าไปรองน้ำที่ไหลลงมาข้อศอก ของคนกอบน้ำกินนั้นเพราะรอหิวไม่ทันใจ สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : ไก่รองบ่อน

สำนวนสุภาษิต ” กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา ” ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึง ไม่รู้จักบุญคุณผู้อุปการะเลี้ยงดูหรือเนรคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ และนำความเดือดร้อนมาให้ผู้มีพระคุณ เปรียบได้กับคนที่อาศัยพักพิงบ้านเขาอยู่แล้ว คิดทำมิดีมิชอบให้เกิดขึ้นภายในบ้านนั้น ทำให้เจ้าของบ้านที่ให้อาศัยต้องเดือดร้อน สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน